( 1998 - 2005 : จาก Buyeo มาอยู่ที่ Seoul - งาน Music Video ชุดแรกของ Park Si Hoo )
ในปี 1998 : Park Pyung Ho ได้ออกจากบ้านมาตามคำชวนของเพื่อนนักเรียนเก่าที่พบกันที่ป้ายรถเมล์ โดยเสนอจะช่วยเหลือเขาทั้งที่พักและงานให้ทำ Pyung Ho ไม่มีเวลาคิดและเตรียมตัวอะไรมากนัก เขาจึงแทบไม่มีอะไรติดตัวมาจาก Buyeo เลย
PSH : " ผมเชื่อมั่นว่าผมจะต้องประสพความสำเร็จ และความเป็นคนที่ไม่ยอมรับรู้กับความเป็นจริงของชีวิตในช่วงนั้น ผมจึงกล้า บ้าบิ่น พอที่จะมุ่งมั่นต่อไป เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังว่าผมจะต้องได้แสดงเป็นตัวนำ เมื่อคิดถึงช่วงนั้นแล้วผมรู้สึกว่ามันเป็นการมองโลกในแง่ดีที่ไม่มีพื้นฐานจากอะไรเลย แม้หลายปีผ่านไป ผมก็ไม่เคยย่อท้อ หรือเลิกล่มความคิดที่ว่า วันหนึ่งผมจะต้องประสพความสำเร็จ ไม่ใช่เพราะผมเป็นคนที่มีเหตุผลหรือไตร่ตรองอะไร แต่เพราะธรรมชาติของผมที่เป็นคนมุมานะ บากบั่น และ ดึงดัน"
เมื่อมาถึง Seoul เขาจึงทราบว่าเพื่อนที่แนะนำเขานั้นเป็นพวกฉ้อโกง เขาจึงตัดสินใจหลบหนีออกมา และโดยปราศจากซึ่งแผนการณ์ล่วงหน้าใดๆเขาก็สร้างทางให้กับตัวเองผ่านงานในมหาวิทยาลัย
มหาวิทยาลัย Hanyang
เขาเข้าศึกษาใน " มหาวิทยาลัย Hanyang " วิชาเอกของเขาคือ ... การศึกษาเกี่ยวกับการบริหารงานชุมชน (คงจะคล้ายๆ รัฐศาสตร์ บ้านเรา) และเขาก็เข้ามาเป็นสมาชิกของกลุ่มละครเวทีของมหาวิทยาลัยด้วย
PSH ขณะเดินอยู่ใน Campus ของมหาวิทยาลัย
หลังจากนั้นเขาก็ไปเคาะประตูของกลุ่มการแสดงละคร งานแรกของเขาคือเอาป้ายโปสเตอร์ไปแปะ การแสดงละครเวทีเป็นอะไรที่เป็นปัญหาใหญ่สำหรับคนขี้อายอย่าง PSH แต่เขาก็อดทนและใช้เวลาของเขาอยู่ที่นั้นต่อไป คนอื่นๆที่เริ่มต้นในช่วงเวลาเดียวกับเขาได้เลิกลากันไปหมดแล้ว จากคนหนึ่งแล้วก็ตามๆกันออกไป เพราะพวกเขาไม่สามารถจะทนกับการมีสภาพชีวิตแบบนั้นได้
Pyung Ho : ได้งานเป็นนักแสดงนำฝ่ายชายร่วมกับนักแสดงอีกคนหนึ่ง( Double-cast หมายถึง สลับกันเป็นพระเอกกับนักแสดงอีกคนหนึ่งในละครเวทีที่มีหลายรอบด้วยกัน ) ในละครเรื่อง " Twelve Nyang Life "* ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตที่ทุกข์ยากของเขา
ภาพยนตร์เรื่อง Twelve Nyang Life ที่ออกฉายเมื่อหลายปีมาแล้ว
นึกภาพ PSH แต่งตัวกับหูหระต่ายอันโตๆอย่างนี้ออกไหม ?
( * ละคร Twelve Nyang Life เป็นเรื่องราวของกรรมกรที่ต้องทำงานหนักและมีชีวิตอยู่ด้วยค่าจ้างขั้นต่ำเพื่อเลี้ยงตัวเองและครอบครัว แม้กระนั้นพวกเขาก็ยังมีช่วงเวลาที่ได้ย้ิม หัวเราะ ร้องไห้ มิตรภาพ และ ความฝันเพื่อวันพรุ่งนี้ร่วมกัน เนื้อหาของละครเป็นการอธิบายถึงสภาพชีวิตที่มีทั้งสุขและทุกข์ร่วมกันของกรรมกรกลุ่มนี้ที่อาศัยอยู่ตามเทือกเขาแห่งหนึ่ง )
นี้คือบันไดเพื่อลงไปในห้องเก็บของซึ่ง PSH
ใช้ที่แคบๆใต้บันไดนี้อีกทีหนึ่งเป็นที่อาศัยหลับนอนกว่า 1 ปีครึ่ง
PSH : " ครั้งหนึ่งผมเคยใช้โรงยิมเป็นที่พักอาศัย ... เพราะเพื่อนที่ผมอาศัยอยู่กับเขาอยู่ๆก็ถูกเรียกไปเกณฑ์ทหาร ( ไม่สามารถที่จะรับภาระจ่ายค่าห้องเพียงคนเดียวได้ ) ผมต้องเอากล่องใส่น้ำดื่มมาต่อเข้าด้วยกันตรงที่ว่างใต้บันไดเพื่ออาศัยเป็นที่นอน อยู่อย่างนั้นประมาณ 1 ปีครึ่ง เวลาฝนตก น้ำก็จะทะลักเข้ามารวมกัน (ยิ้ม) อยู่ตรงที่ๆผมนอน มันราวกับว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง "
PSH : " มันคือโรงยิมแถวๆ Bangdae Dong ... ยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้ครับ ผมอยากจะกลับไปสักครั้งหนึ่งเหมือนกัน ช่วงเวลานั้นคือช่วงเวลาที่ว้าเหว่ที่สุดของผม ผมอยู่ตามลำพังคนเดียวเป็นวันๆ นับตั้งแต่ผมตัดสินใจแยกตัวออกมาจากบ้านเพื่อมาเป็นนักแสดง ผมก็ใช้เวลาทำงานอยู่ที่นั้น เพราะไม่อยากเป็นภาระกับใคร
PSH : ได้เล่าถึงช่วงขีวิตที่ด้องฝืนทนของเขา ซึ่งเป็นช่วงที่เขากำลังมีความหวังอย่างเต็มเปี่ยมที่จะได้เริ่มสร้างชื่อให้กับตัวเองใน ละครเวทีเรื่องแรกของเขา ซึ่งในวันแรกนั้นไม่ไช่รอบที่เขาจะต้องแสดงในฐานะตัวนำ
PSH : มันถึงช่วงที่ละครกำลังจะฉายรอบแรกแล้ว และเป็นเวลาที่จะต้องออกทำการแจกใบปลิวไปตามที่สาธารณะต่างๆ ในที่สุดหน้าของผมจะได้ปรากฏในภาพกับเขาเสียที ผมนั้นเต็มไปด้วยความคาดหวังอย่างเต็มเปี่ยม ผมได้เป็นตัวนำ ใช่ไหมหละ? ผมก็เลยเปิดสมุดคู่มือการชมละครออกดู อุ๊ป! ชื่อของผมไม่ได้อยู่ที่รายชื่อของนักแสดง มันกลับไปอยู่ที่ด้านหลัง? ไม่นะ อยู่ตรงหน้าที่ 3 รวมอยู่กับพนักงานทั่วๆไปผมเห็นรูปของผมแล้ว เป็นไปได้อย่างไร ? นี้เพราะผมมาร่วมกับเขาไม่ถึงครึ่งปีหรืออย่างไร ? ผมนั้นสะเทือนใจมากเป็นที่สุด ผมไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร ผมวิ่งไปนั่งที่สวนสาธารณะในทันที นั่งอยู่อย่างนั้นประมารณ 20 -30 นาที ได้แต่จ้องอยู่ที่สมุดคู่มืออยู่อย่างนั้น คอยคิดแต่ว่าผมควรจะกลับบ้านไปเสียเลยดีไหมและลืมทุกสิ่งทุกอย่างให้หมด แต่นี้มันใกล้จะถึงเวลาที่การแสดงจะเริ่มแล้ว แต่เพราะมันเป็น Double cast ( ทีมนักแสดง 2 ชุด) วันนั้นมันเป็นของอีกกลุ่มหนึ่งที่จะต้องแสดงและผมมีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องของการให้แสง ถ้าผมไม่ทำมัน มันก็จะไม่มีแสงไฟ ดังนั้นผมจึงกลับไปที่โรงหนัง
PSH : เมื่อการแสดงสิ้นสุดลง ผมได้กลับไปที่ห้องเล็กๆของผมที่สถานออกกำลังกายแห่งนั้น ผมรู้สึกว่าตัวเองนั้นช่างเคราะห์ร้ายเหลือเกิน มันมืดแปดด้านไปหมด ผมไม่รู้จักใครเลย ผมมาที่โซลด้วยมือเปล่าๆ ผมรู้สึกทั้งเหงา ว้าเหว่ และเสียใจมากๆ ดังนั้นในชั่วขณะนั้นเองผมก็เลยตัดสินใจครั้งสำคัญ
PSH : ผมใช้โทรศัพท์เข้าไปที่ศูนย์โทรเพื่อโทรทางไกลไปที่บ้าน ( NK : นั้นเป็นวิธีเก่าๆดั้งเดิมก่อนมี cellphone ที่เราต้องโทรผ่านศูนย์เพื่อที่จะโทรทางไกลไปต่างจังหวัด ) ผมรู้สึกว้าเหว่มากจริงๆ ผมจึงโทรเข้าไปหาแม่ ในทันทีที่ได้ยินเสียงแม่เท่านั้นน้ำตาของผมก็ไหลออกมาแบบชนิดหยุดไม่ได้เอาเลย ตามองดูห้องเล็กๆแคบๆตรงหน้าและพูดกับแม่ไปด้วย ผมอยากให้แม่ปลอบโยนผมแต่แม่กลับพูดว่า " ถ้ามันยากลำบากนักที่ Seoul แล้วจะทนอยู่ที่นั่นไปทำไม ? กลับมาบ้านเดี๋ยวนี้เลย! " แม่ของผมไม่ทราบว่าอะไรเกิดขึ้น เธอคิดว่าผมกำลังไปได้ดี ผมถามแม่ว่า" แม่ ผมกำลังรู้สึกสิ้นหวัง และ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ผมถึงได้โทรมาหาแม่ ทำไมแม่ต้องมาดุผม ? "
PSH : ได้เล่าถึงช่วงขีวิตที่ด้องฝืนทนของเขา ซึ่งเป็นช่วงที่เขากำลังมีความหวังอย่างเต็มเปี่ยมที่จะได้เริ่มสร้างชื่อให้กับตัวเองใน ละครเวทีเรื่องแรกของเขา ซึ่งในวันแรกนั้นไม่ไช่รอบที่เขาจะต้องแสดงในฐานะตัวนำ
PSH : มันถึงช่วงที่ละครกำลังจะฉายรอบแรกแล้ว และเป็นเวลาที่จะต้องออกทำการแจกใบปลิวไปตามที่สาธารณะต่างๆ ในที่สุดหน้าของผมจะได้ปรากฏในภาพกับเขาเสียที ผมนั้นเต็มไปด้วยความคาดหวังอย่างเต็มเปี่ยม ผมได้เป็นตัวนำ ใช่ไหมหละ? ผมก็เลยเปิดสมุดคู่มือการชมละครออกดู อุ๊ป! ชื่อของผมไม่ได้อยู่ที่รายชื่อของนักแสดง มันกลับไปอยู่ที่ด้านหลัง? ไม่นะ อยู่ตรงหน้าที่ 3 รวมอยู่กับพนักงานทั่วๆไปผมเห็นรูปของผมแล้ว เป็นไปได้อย่างไร ? นี้เพราะผมมาร่วมกับเขาไม่ถึงครึ่งปีหรืออย่างไร ? ผมนั้นสะเทือนใจมากเป็นที่สุด ผมไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไร ผมวิ่งไปนั่งที่สวนสาธารณะในทันที นั่งอยู่อย่างนั้นประมารณ 20 -30 นาที ได้แต่จ้องอยู่ที่สมุดคู่มืออยู่อย่างนั้น คอยคิดแต่ว่าผมควรจะกลับบ้านไปเสียเลยดีไหมและลืมทุกสิ่งทุกอย่างให้หมด แต่นี้มันใกล้จะถึงเวลาที่การแสดงจะเริ่มแล้ว แต่เพราะมันเป็น Double cast ( ทีมนักแสดง 2 ชุด) วันนั้นมันเป็นของอีกกลุ่มหนึ่งที่จะต้องแสดงและผมมีหน้าที่รับผิดชอบเกี่ยวกับเรื่องของการให้แสง ถ้าผมไม่ทำมัน มันก็จะไม่มีแสงไฟ ดังนั้นผมจึงกลับไปที่โรงหนัง
PSH : เมื่อการแสดงสิ้นสุดลง ผมได้กลับไปที่ห้องเล็กๆของผมที่สถานออกกำลังกายแห่งนั้น ผมรู้สึกว่าตัวเองนั้นช่างเคราะห์ร้ายเหลือเกิน มันมืดแปดด้านไปหมด ผมไม่รู้จักใครเลย ผมมาที่โซลด้วยมือเปล่าๆ ผมรู้สึกทั้งเหงา ว้าเหว่ และเสียใจมากๆ ดังนั้นในชั่วขณะนั้นเองผมก็เลยตัดสินใจครั้งสำคัญ
PSH : ผมใช้โทรศัพท์เข้าไปที่ศูนย์โทรเพื่อโทรทางไกลไปที่บ้าน ( NK : นั้นเป็นวิธีเก่าๆดั้งเดิมก่อนมี cellphone ที่เราต้องโทรผ่านศูนย์เพื่อที่จะโทรทางไกลไปต่างจังหวัด ) ผมรู้สึกว้าเหว่มากจริงๆ ผมจึงโทรเข้าไปหาแม่ ในทันทีที่ได้ยินเสียงแม่เท่านั้นน้ำตาของผมก็ไหลออกมาแบบชนิดหยุดไม่ได้เอาเลย ตามองดูห้องเล็กๆแคบๆตรงหน้าและพูดกับแม่ไปด้วย ผมอยากให้แม่ปลอบโยนผมแต่แม่กลับพูดว่า " ถ้ามันยากลำบากนักที่ Seoul แล้วจะทนอยู่ที่นั่นไปทำไม ? กลับมาบ้านเดี๋ยวนี้เลย! " แม่ของผมไม่ทราบว่าอะไรเกิดขึ้น เธอคิดว่าผมกำลังไปได้ดี ผมถามแม่ว่า" แม่ ผมกำลังรู้สึกสิ้นหวัง และ ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ผมถึงได้โทรมาหาแม่ ทำไมแม่ต้องมาดุผม ? "
แต่ในที่สุด PSH ก็กล้ำกลืนใช้ชีวิตของเขาอยู่กับงานละคร
จนในที่สุดเขาจึงตัดสินใจไปเข้ารับราชการทหารอยู่ถึง 3 ปี
( NK : ข้อมูลนี้ไม่มั่นใจว่า 2 หรือ 3 ปีกันแน่ ) ซึ่งเป็นช่วงระหว่างปี 1999 - 2003
~ ในปี 2003 : หลังจากออกมาจากกองทัพได้ไม่นาน Pyung Ho ก็ได้งานโฆษณาชุดชั้นในชิ้นหนึ่งที่ภาพของเขาในชุดชั้นในยังคงวนเวียนออกมาทาง Internet อยู่เสมอๆ โดยตัวของเขาเองมักพูดถึงเรื่องนี้ทุกคนที่ถูกถามขึ้นมาว่า " ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นนายแบบกางเกงชั้นในได้ " และเขาก็ใช้เวลาอีกหนึ่งปีครึ่งอยู่กับชีวิตในโรงละคร ถ่ายโฆษณา และแสดงละครเป็นตัวประกอบเล็กๆอยู่อย่างนั้น
และในปี 2003 นี่เองที่ Park Pyung Ho ได้ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อของเขามาเป็น " Park Si Hoo "
ชื่อ Park Si Hoo ได้เริ่มใช้มาในราวปี 2003 โดยผู้นำสวดที่หมู่บ้านเป็นผู้ตั้งให้
ความหมาย
" Si " คือ มีเมตตาต่อผู้ยากไร้
" Hoo " คือ มีจิตใจที่อบอุ่น อ่อนโยน ลึกซึ้ง
ชีวิตในช่วงนั้นของเขา วันๆหนึ่งจะหมดไปกับการต้องวิ่งรอกไปถ่ายโฆษณาบางชิ้น ในเวลาเดียวกับที่เขามีงานแสดงบนเวที เขาต้องทำงาน Part time ควบคู่ไปกับบทเล็กๆที่เขาจะได้เล่น ถ่ายแบบ ทำงานบนเวที วนเวียนอยู่อย่างนั้นแต่เขาก็ไม่เคยท้อแท้
จนในปี 2005 : นั้นแหละที่ Park Si Hoo ได้มีโอกาสมาแสดง Music Video " Happiness " ของวง Gavy NJ และนับจากนั้นเป็นต้นมา Park Si Hoo จึงเริ่มมองเห็นช่องทางของเขายิ่งขึ้น แม้ในช่วงนั้นมันยังเป็นเพียงแสงไฟที่ริบหรี่เท่านั้นก็ตาม แต่มันก็คือเส้นทางเดียวที่เขาพร้อมที่จะเลือกเดินเพื่อไปสู่ความฝันของเขา ... โชคดี Park Si Hoo
รสนิยมและกีฬาที่โปรดปราน :
PSH ชอบดูหนังประเภท Fantasy แนวบู๊ที่มีเนื้อหาสาระ และหนังญี่ปุ่นที่มีเนื้อหาลึกซึ้งกินใจ เขาชอบฟังเพลง Jazz ที่นุ่มละไม ถ้ามีเวลาเขาก็ชอบไปตามร้านอาหารดีๆ ที่มีชื่อเสียงเพื่อลิ้มรสอาหารที่เอร็ดอร่อย รวมทั้งเขายังชอบที่จะทำ BarBQ อาบน้ำแบบ Jacuzzi เพราะอย่างนี้เขาจึงเป็นผู้ชายที่มีความสมบูรณ์แบบและมีรสนิยมที่ดีคนหนึ่งในความเห็นของหญิงสาวโดยทั่วไป
กีฬาที่โปรดปราน :
เขายังชอบกีฬาตามฤดูกาลต่างๆอีกด้วย อย่างเข่น Wakeboard ในช่วงหน้าร้อน และ Snowboard ในช่วงหน้าหนาว หลายต่อหลายครั้ง เขาก็จะเล่น Ball กับน้องชายนักกีฬา Baseball ของเขา และ ยังคงมุ่งมั่นกับการออกกำลังกายที่โรงยิมและว่ายน้ำประมาณ 4 ครั้งต่ออาทิตย์ในวันที่ไม่ต้องทำงาน ทั้งหมดนี้มันเกินกว่าระดับของคนธรรมดาทั่วไปเสียแล้ว คงต้องเรียกว่าเป็นระดับของคนที่คลั่งไคล้กับมันเลยทีเดียว
กีฬาประเภท Skydiving , Bungee Jump และ Scuba Diving
เป็นรายชื่อของกีฬาที่อยู่ในความฝันของเขาที่อยากจะท้าทายกับมัน
PSH : " จะมีใครบ้างไหมที่จะยังคงรักษาภาพพจน์ที่เป็นที่น่ายกย่อง สรรเสริญ ไปตราบนานเท่านาน ถึงแม้จะแก่ตัวลง ผมอยากจะถูกจดจำว่าเป็นนักแสดงที่ทิ้งภาพพจน์ที่ดีงามไว้เบื้องหลัง ผมหวังที่จะเป็นนักแสดงไปนานเท่านาน นักแสดงที่ยังคงฉายแสงของเขาเองอยู่แม้อายุได้ 50 - 60 ปีแล้วก็ตาม และผมก็หวังว่าความสัมพันธ์ของผมกับแฟนๆจะยังคงเป็นอยู่เช่นนี้ตราบนานเท่านานครับ "
THE END
(Source: http://www.doopedia.co.kr/photobox/comm/community.do?_method=view&GAL_IDX=101012000754096&category=total&categoryTerm=01#)
(Credits: www.doopedia.co.kr; http://google.com; sbs entaintment@youtube.com. Thanks!)
Credit : parksihoo4u.com,thanks!
เป็นความมุ่งมั่นที่น่าชื่นชมมากเลยทีเดียว สู้ต่อไปนะ PSH fighting !!!
ReplyDeleteอ้าวกำลังอ่านเพลินๆจบเฉยเลย ชื่นชมในความอดทนของเขามากเลย สู้ต่อไปนะ PSH fighting !!!
ReplyDeleteขอบคุณสำหรับผลงานดีดีแบบนี้ค่ะนิกกี้ ยากนะค่ะที่จะได้อ่านอะไรที่ครบถ้วนแบบนี้โดยไม่ต้องไปค้นคว้าเอาเอง ขอบคุณสำหรับการทำงานหนัก..ขอบคุณจริงๆค่ะนิกกี้
ReplyDeleteชีวิตของเขานั้นไม่ง่ายเลย หากเป็นคนทั่วไปคงหยุดและท้อไปแล้ว เค้าช่างเป็นนักสู้ตัวจริงเลยค่ะ...Rak
ขอบคุณนะคะนิกกี้ มีข้อมูลดีๆ มาให้อ่านตลอดเลย แล้วก็เขียนออกมาได้ดีด้วย ยกนิ้วให้กับความขยันจริงๆ ค่ะ ^^ อ่านไปก็เพลินไป (แอบแว๊บมาเพลินกันซะตอนนี้ 555)
ReplyDeleteมีความสุขที่ได้อ่านเรื่องราวของเขา...PSH ชีวิตเขานั้นมีครบทุกอย่าง สุข เศร้า เหงา ทุกข์...แต่เหนือสิ่งอื่นใดความมุ่งมั่นของเขาก็ทำให้เขาประสบความสำเร็จได้จริง ๆ เป็นแบบอย่างของความพยายามที่ดี....ที่เราปลื้มเขานั้น เรารู้สึกว่าปลื้มถูกคนแล้วจริงๆ ชีวิตเขานั้นดีพอ ๆ กับหน้าตาเขาเลยทีเดียว รู้สึกภูมิใจตัวเองที่มาหลงรักเขานะนี่ ^^
Good Morning คะทุกคน : แหะๆ มันต้องจบอย่างนั้นคะ เพราะถูกมอบหมายให้ทำแค่นั้น ส่วนอื่นๆหลังจากที่เขาเริ่มงานแสดงละครแล้วเป็นหน้าที่ของ Admin คนอื่นๆคะ ซึ่งจริงๆแล้วเขาเสร็จกันเกือบหมดแล้วหละในส่วนของเขา เรามันต่วมเตี่ยมเป็นเต่าอยู่นี้หละ เพราะไม่มีเวลาจริงๆ แต่ก็ขอบคุณทุกๆคนคะที่ชอบ
ReplyDeleteขอบคุณนะคะนิกกี้ เค้าช่างเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นมั่กๆเลยอ่ะ อ่านแล้วเพลินมากเลยค่า ยิ่งอ่านก้อยิ่งรักยิ่ชื่นชมเค้ามากขึ้นไปอีก ^^
ReplyDeleteอ่านอีกก็น้ำตาไหลอีก ตอนที่เค้าอยู่ห้องใต้บันไดอ่ะ แต่เค้าเข้มแข็งจริงๆ ถ้าเป็นดิช้านคงหนีกลับไปอยู่บ้านเลี้ยงน้องควายช่วยคุณพ่อคุณแม่แล้วค่ะ
ReplyDeleteเอ สงสัยอ่ะ
Deleteบ้านเขามีควายด้วยเหรอคะ
This comment has been removed by the author.
Deleteหมายถึงตัวดิช้านเองจ้า ถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้มีหวังเปิดแน่บจ้าาาาาาาา
Deleteใครมาร้องไห้กะจองงอแง แถวนี้น่ะ อ้าวกลับไปเลี้ยงน้อง มอ มอ ซะแล้ว ยังไม่ได้คุยกันเลย โอ๊ะ สี่ทุ่มแล้วหรือนี่ไวจัง
Delete