Scent

Scent

Friday, March 2, 2012

The Dark Knight ( ตอนที่ 3 )

R : เมื่อไหร่ที่คุณเริ่มมีความคิดที่อยากเป็นนักแสดง

P : ผมคิดเรื่องนี้มาตั้งแต่ยังเด็กๆแล้ว พ่อของผมชอบพาผมไปโรงหนังบ่อยมาก พ่อทำงานเป็นนายแบบในช่วงปี 70 พ่อเคยแสดงหนังมาบ้างเหมือนกัน และพ่อผมก็เป็นคนที่ชอบดูหนังเอาเรื่องอยู่ เมื่อผมเป็นเด็กๆพ่อเคยพาผมเข้าไปดูหนังภาคคำ่ ผมดูมาหมดหละ 007 ทุกตอน แม้แต่ตอนที่เด็กๆส่วนใหญ่ไม่ได้รับอนุญาติให้ดู ผมยังมีความจำที่ใสแจ๋วเกี่ยวกับเรื่องนี้ เช่นว่า นักแสดงคนนี้คือใคร นักแสดงคนนี้ทำอะไร สำหรับผมการเป็นนักแสดงเหมือนกับความฝัน เพราะผมเติบโตมาในชนบท มันเป็นอะไรที่เหลือเชื่อสำหรับผมที่จะได้เป็นนักแสดง

R : คุณพูดถึงชนบท จริงๆมันอยู่ที่ไหนกันแน่

P : ผมเกิดที่ Jungjeong-do และมาโตที่ Buyeo เมื่ออายุ 20 ผมเข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงโซล โดยไม่รู้จักใครเลยแม้แต่คนเดียว ผมเพียงต้องการมาเป็นนักแสดง ดังนั้นผมก็เลยเอาตัวเองไปร่วมกับกลุ่มการแสดงกลุ่มหนึ่ง และทำอะไรประเภท แปะป้าย Poster บ้าง ทำงานสาธารณะทั่วไป และผมก็ได้เริ่มงานบนเวทีบางครั้งก็ได้แสดงเป็นตัวนำด้วย



R : นี้ดูคล้ายๆกับความทรงจำโดยทั่วๆไปกับจุดเริ่มต้นของอาชีพนักแสดง

P : ต่อมาผมได้แสดงงานโฆษณา และผมก็ถูกค้นพบโดยบริษัทจัดหางานแสดง ก็เป็นอะไรทำนองนี้

R : ในช่วงนี้ มีนักแสดงที่โด่งดังขึ้นมาอย่างรวดเร็วแบบทันทีทันใด แต่ในกรณีของคุณการผ่านงานแสดงจากเรื่องหนึ่งไปอีกเรื่องหนีึ่ง เหมือนค่อยๆ สร้างรากฐานการแสดงมาอย่างต่อเนื่อง

P : ช่วงจากจุดเริ่มต้นบนเวทีจนมาถึงจุดที่ผมสามารถสร้างชื่อด้วยตัวเองได้ใช้เวลากว่า 10 ปี สำหรับนักแสดงชาย ไม่ง่ายเลยที่จะมีโอกาสดีๆสักครั้งก่อนที่คุณจะเสร็จสิ้นภาระทางทหาร เวลาที่ผมเห็นนักแสดงที่สร้างชื่อเสียงจากงานแสดงเพียงชิ้นเดียว ผมรู้สึกมันช่างไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้เลย สำหรับผมคิดว่าการใช้ระยะเวลาอันยาวนาน ก่อนจะมาประสพความสำเร็จได้นั่นถือเป็นข้อได้เปรียบของผม

R : อะไรที่คอยผลักดันคุณให้ก้าวต่อไปในช่วงเวลาอันยาวนานในฐานะนักแสดงที่ไร้ชื่อเสียง

P : เมื่อผมเริ่มงานตอนอายุ 20 นั้นผมรู้สึกเชื่อมั่นว่าผมจะต้องประสพความสำเร็จ แต่ด้วยความเป็นคนไม่ยอมรับรู้กับความเป็นจริงของชีวิต ผมจึงมีความกล้า บ้าบิ่น พอที่จะมุ่งมั่นต่อไป ผมเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังว่าผมจะต้องได้แสดงเป็นตัวนำ - ช่างเป็นความหวังแบบลมๆแล้งๆจริงๆ-  เมื่อคิดถึงช่วงนั้นแล้วผมรู้สึกว่ามันเป็นการมองโลกในแง่ดีที่ไม่มีพื้นฐานจากอะไรเลย แม้หลายปีผ่านไป ผมก็ไม่เคยย่อท้อ หรือเลิกล่มความคิดที่ว่าที่ว่าผมจะต้องประสพความสำเร็จ ไม่ใช่เพราะผมเป็นคนที่มีเหตุผลหรือช่างไตร่ตรองอะไร แต่เพราะธรรมชาติของผมที่เป็นคนมุมานะ บากบั่น

R : ดูเหมือนคุณเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี จนถึงปัจจุบันอะไรคือประสพการณ์ที่เจ็บปวด ทรมาณที่สุด

P : ผมไม่ได้พูดตลกเล่นๆนะ - การถ่ายฉากในสระว่ายนำ้วันนั้น (หัวเราะ ) คุณน่าจะเข้าใจความรู้สึกของผมดี เมื่อเวลาที่ผมบอกคุณว่าผมต้องอยู่ในนำ้เย็นจนกระทั่งคำ่มืด ผมยังจำความรู้สึกนั้นได้ดีเพราะมันเพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อ 2-3 วันก่อน จริงๆแล้วผมเป็นคนที่ไม่ค่อยจดจำกับเรื่องทำนองนี้ นานนัก ผมจะปล่อยๆลืมๆมันไป แต่ถ้าจะเปรียบเทียบกับการถ่ายละคร เรื่องนี้เทียบกันไม่ได้เลย บ่อยครั้งที่เราจะต้องเข้าฉากติดต่อกันไปโดยไม่ได้หลับไม่ได้นอนถึง 3-4  คืนด้วยกัน จนกระทั่งเราจะเริ่มผล่อยหลับไปซะเฉยๆ แม้เมื่อกำลังเข้าฉากอยู่ก็ตาม - แสดงไป สับปงกไป - กับสถานการณ์ สิ่งแวดล้อมอย่างนั้นก็แทบไม่น่าเชื่อว่าเรายังสามารถที่จะจดจำบทต่างๆได้ เวลาที่มาดูละครหลังจากออกฉายทาง TV ผมเองก็ยังประหลาดใจที่เรายังมีปัญญาที่จะแสดงออกมาได้อย่างเสร็จสมบูรณ์ ในสภาพร่างกายเช่นนั้น

No comments:

Post a Comment