Scent

Scent

Tuesday, August 21, 2012

PSH ให้สัมภาษณ์ นิตยสาร Style H : สิงหาคม ปี 2008

สิงหาคม 2008 : นิตยสาร Style H.

นัดพบ Park Si Hoo กับ สมบัติที่ซ่อนอยู่



แม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ดูมีจิตใจดี แต่เมื่อแรกที่เหลือบเห็น Park Si Hoo นั้นเขาดูเหนื่อยล้าเอามากๆ จนผมเองเริ่มรู้สึกเห็นใจกับเขาขึ้นมา ที่ต้องมาพูดคุยเอาเนื้อหาสาระกับเราในวันนี้ ในช่วงขณะที่ผมกำลังสงสัยอยู่ว่า การสัมภาษณ์ Park Si Hoo ในอากาศที่ร้อนอบอ้าวเช่นนี้จะมากเกินไปหรือเปล่า ผมก็เห็นเขาวิ่งหน้าตั้งไปเข้าฉาก ในทันทีที่เขาได้เพิ่มพลังด้วยการดื่มน้ำเข้าไปเท่านั้นเอง

ถึงจะมีการเริ่มต้นที่ค่อนข้างวุ่นวายโกลาหลอยู่บ้าง ทั้งจากเสียงนาฬิกาปลุก เสียงเรียกจากผู้จัดการเพื่อช่วยปลุกหนุ่มที่กำลังนอนหลับรายนี้ให้ตื่นขึ้นก็ตาม แต่ Park Si Hoo ก็ดูเหมือนว่าจะพร้อมเสมอกับการทำในสิ่งที่ดีที่สุดด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขกับโอกาสที่กำลังให้กับเขาในขณะนี้

" เวลาที่กำลังอยู่ในระหว่างถ่ายทำละคร ทุกๆอย่างดูจะเป็นไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามไปหมด แม้วันและคืนจะเปลี่ยนไปตามเวลาของมัน แต่ในบางครั้งผมจะรู้สึกสับสนว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ ขณะที่ผมกำลังแสดงละครอยู่นั้น ผมแทบจะทำอะไรไม่ได้เอาเลย ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเป็นการถ่ายละครแนวโบราณอย่างขณะนี้ ( Iljimae ) มันถึงกับจะมีบางครั้งที่ผมรู้สึกสับสนเอามากๆว่าตัวเองกำลังอยู่ในช่วงปัจจุบัน หรือ ในอดีตกันแน่ " นั้นคือคำตอบสำหรับคำถามที่ว่า : งานละครส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของ Si Hoo อย่างไร ?

Park Si Hoo ดูดีมากๆเวลาที่เขายิ้ม แต่ไม่นานหลังจากนั้น สีหน้าที่แสดงความเมินเฉยต่อสิ่งรอบข้างของเขาก็จะบอกเราได้อย่างชัดเจนถึงสภาพความในใจของเขา นอกจากนั้นเขายังมีสิ่งที่ชวนให้สนเท่ห์ยิ่งขึ้นไปอีก ที่เราเพิ่งได้ค้นพบกับการผสมผสานกันอยู่ระหว่างวิธีการพูดที่ฟังดูช่างไร้เดียงสาของเขาเช่น " ผมไม่รู้อะไรเลย " กับ " ชีวิตที่เต็มไปด้วยด้วยประสพการณ์กับความหวานอมขมกลืนในอดีตที่ผ่านมาของเขา "

ขณะที่ผู้คนกำลังมุ่งความสนใจอย่างตื่นเต้นกับการปรากฏโฉมของ Si Hoo ในละคร Iljimae และต่างเรียกขานเขาว่าเป็น " การค้นพบอันสดใสชิ้นใหม่ " แต่ Park Si Hoo ก็ไม่ได้ดูราวกับคนที่ตื่นเต้นหรือหวั่นไหวกับความโด่งดังอย่างคาดไม่ถึงที่เข้ามาหาเขาในขณะนี้แม้แต่น้อย

จากในละคร How to meet a perfect Neighbor เขาเล่นในบทที่ต้องแสดงคู่กับ Bae Doo Na ซึ่งคุณค่าที่แท้จริงของเขาก็ได้เริ่มถูกมองเห็นขึ้นมาบ้างแล้วจากละครเรื่องนี้ คนหลายคนเริ่มประจักษ์ความจริงอย่างหนึ่งว่านักแสดงที่ไร้ขื่อเสียงนาม Park SiHoo ได้ปรากฏกายขึ้นมาจริงๆในโลกแห่งนี้ โดยความจริงแล้ว วันที่เขาจะต้องต่อสู้กับความยากลำบากนั้นก็ยังคงอยู่กับเขาด้วยเช่นกัน ดังเช่นนักแสดงที่ยังมีชีวิตอยู่ทุกคนล้วนต้องเผชิญกับมัน

" เมื่อผมต้องแสดงความรู้สึกที่โศรกเศร้าเป็นครั้งแรก หน้าของผมซีดไปหมดราวกับถูกผีหลอกเลยเพราะทีมงานทุกคนกว่าสิบคน ต่างจัองมองมาที่ผมเป็นจุดเดียวกัน มันไม่ง่ายเลยแม้จะพยายามอย่างเต็มที่แล้ว ที่จะต้องปรับเปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกของผม แม้จะเพียงเล็กน้อยก็ตามต่อหน้าผู้คนเช่นนั้น จากเวลานั้นจนถึงบัดนี้ ถ้าจะถามว่าผมพอจะทำมันได้ดีขึ้นหรือยัง? มันก็เริ่มจะดีชึ้นมาบ้างเล็กน้อย ในทันทีที่ผู้กำกับพูด " cut " ผมก็จะคิดกลับไปที่ส่วนแรกของฉากนั้นใหม่และจะระลึกถึงมันด้วยความเสียใจและโล่งใจไปพร้อมๆกัน ถ้าจะพูดว่าผมเริ่มจะผ่อนคลายลงบ้างหรือยัง ? มันยังคงมีอยู่บ้าง ไม่ง่ายเลยที่จะต้องแสดงความเป็นตัวของตัวเองต่อหน้าผู้อื่น "





กล่าวได้ว่าการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ได้เริ่มมองเห็นรางๆมาได้ระยะเวลาหนึ่งแล้ว แต่เขาก็ตั้งใจว่า เขาจะพยายามซื่อสัตย์กับตัวของเขาเอง รวมทั้งภาพลักษณ์ที่จะปรากฏต่อหน้าผู้คนว่าเขานั้นยังคงเป็น Park Si Hoo คนเดิมที่ยังคงมีจิตใจอ่อนโยน และ นุ่มนวล

" ภาพที่ผู้คนจะได้เห็นนั้นแน่นอนที่จะต้องเป็นตัวของผมเอง แต่นั้นก็จะเป็นเพียงหนึ่งในมุมมองที่หลากหลายของ Park Si Hoo และในทางกลับกันก็ยังคงมีแง่มุมที่แตกต่างอีกมากมายภายในตัวของผม อย่างไรก็ตาม มุมมองและภาพพจน์ของนักแสดงมักจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ความเป็นตัวของตัวเองกลับเริ่มลดน้อยถอยลงไปทุกที ในระยะยาวมันไม่ควรที่จะเป็นเช่นนั้น ผมคิดเกี่ยวกับมันซ้ำๆอยู่หลายครั้งว่า ผมควรที่จะมีความซื่อสัตย์ต่ออารมณ์และความคิดของตัวเองแต่ไหน ฮา! ฮา! แต่ไม่ได้หมายถึงว่าผมจะต้องทำตัวเป็นคนที่ปากอย่างใจอย่างหรอกนะ "

นักแสดงควรจะทำตัวให้เป็นที่นับถือกับชีวิตส่วนตัวของเขาเท่าๆกับในการแสดง แต่ไม่ได้หมายถึงว่า
นักแสดงคนนั้นต้องทำตัวเองให้มีชีวิตเหมือนกับนักบุญอะไรทำนองนั้น จริงที่ว่าสังคมโดยรอบบังคับให้คุณต้องทำตัวให้อยู่ในกรอบศึลธรรมอันดีงามและอาจจะเพิ่มเป็น 2 เท่าด้วยซ้ำ เพื่อภาพพจน์ของการเป็นบุคคลของประชาขน แม้จะทราบดีว่าเขาจะต้องยอมรับกับความเจ็บปวดเหล่านี้เมื่อต้องเข้ามาเป็นคนในสังคมนี้ก็ตาม เราก็เชื่อว่าดาราหนุ่ม Park Si Hoo เป็นคนที่มีจิตใจที่เข้มแข็งมากพอ

และอย่าได้ถูกหลอกโดยหน้าตาที่หล่อเหลากับรอยยิ้มที่สดใสของเขาเสียก่อนหละ เพราะขณะนี้เขาอายุไม่มากไม่น้อยไปกว่า 30 ปีแล้ว กว่าที่จะมาถึงจุดนี้ได้นั้นเขาต้องเผชิญกับมรสุมและขวากหนามต่างๆมากมายด้วยตัวของเขาเอง เขาย่อมเข้าใจกระแสลมที่กำลังพัดผ่านเข้ามาหาเขาในเวลานี้ได้เป็นอย่างดีจากชึวิตของคนๆหนึ่งที่รู้จักความหมายของการรอคอยได้ดีกว่าใครๆ

เขากล่าวอย่างระมัดระวังตัวเองว่า ในขณะนี้เขาเริ่มที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับงานแสดงขึ้นมาบ้างแล้ว ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นเขาได้วิ่งมองหาหนทางเช่นนี้มาอย่างเต็มฝีเท้า โดยคิดแต่ว่าถ้าเพียงเขาจะทำทุกอย่างให้ได้ดีและสมบูรณ์แบบแล้ว มันก็น่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดีมาตั้งแต่เขาอายุได้สัก 20 ปีกว่าๆแล้ว การทำอะไรไปตามยถากรรมเช่นนั้นกลับไม่ได้ให้อะไรกับเขาเลย

ตอนนี้ เขามีโอกาสที่จะเป็น " ผู้เลือก " ไม่ใช่เป็น " ผู้ถูกเลือก" ดังที่ผ่านมา Park Si Hoo ผู้ซึ่งตระ หนักดีถึงเหตุผลของการเลือกมามีชีวิตเพื่อการแสดงโดยไม่อนาธรหรือยอมแพ้ต่อความยากลำบากในอดีตที่ผ่านมา เขาคือนักแสดงที่มีจิตใจที่มุ่งมั่นซึ่งหายากเต็มที่ ผู้ที่จะมีพลังขับเคลื่อนขึ้นมาในทันทีแม้เมื่อเขารู้สึกเหนื่อยล้าปานใดก็ตาม แต่เขาก็ยังคงเปิดใจให้กว้างกับอนาคตเบื้องหน้าของเขาเหมือนนักแสดงคนอื่นๆเช่นกัน

" คนมักจะถามผมว่าจะเลือกทำอะไรและอยากทำอะไรในอนาคต ยังหรอกครับ ยังไม่มีอะไรให้เลือก อย่างเดียวก็คือทำขณะนี้ให้ดีที่สุด ผมยังไม่มีอะไรที่เฉพาะเจาะจงอยู่ในใจตอนนี้ ทุกๆอย่างยังเป็นแค่การเริ่มต้นเท่านั้น "


Park Si Hoo บุรุษผู้เกิดมาเพื่อต้องการเป็นนักแสดง ผู้ซึ่งเล่าว่าเขาจะต้องเลือกการมีชีวิตที่จะเป็นนักแสดงทุกครั้งที่ท้องร้องด้วยความหิวโหย จากสภาพชีวิตที่ต้องอาศัยผู้อื่นอยู่ ถึงแม้ทุกงานที่ผ่านเข้ามาจะเต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่เขากลับมองเห็นมันราวกับมันคือ " สมบัติอันล้ำค่า " เราก็ได้แต่คอยดูไปว่าจะมี " สมบัติ " อะไรอีกที่เขายังคงเก็บซ่อนเอาไว้เบื้องหลัง ...


credit : www.parksihoo.com, thanks !












2 comments:

  1. ใช่แล้วตอนนี้ PSH มีโอกาสเป็น "ผฺ้เลือก" ไม่ใช่ "ผู้ถูกเลือก"
    แล้วเลือกได้แล้วหรือยังจ๊ะ ว่าจะรับงานละครเรื่องใหม่หรือเปล่า รออยู่น้า^^

    ReplyDelete
  2. ขอบคุณที่แปลมาให้อ่านนะคะนิกกี้ (อ่านช้าไป 1 ปี ^^)
    ชอบบทสัมภาษณ์ของเขาจังค่ะ และมุมมองนี้ "งานทุกชิ้นคือสมบัติอันล้ำค่า" เป็นมุมมองที่ดีจังค่ะ
    เพราะเห็นคุณค่า จึงทำออกมาอย่างดีที่สุด..แสดงให้เห็นว่างานทุกชิ้นนั้นเขาทุ่มเทให้กับมันมากแค่ไหน
    ดีจังที่ได้อ่าน ขอบคุณค่ะนิกกี้ ^^

    ReplyDelete